กล้องแคปซูล สุดยอดเทคโนโลยีที่มีความสำคัญอย่างมากในวงการแพทย์มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง?
กล้องแคปซูล เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีส่วนให้คนเรา ทำอะไรได้สบายยิ่งขึ้น ยิ่งในวงการแทพย์ ที่เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ให้การรักษาภายใน ร่างกายของคนเรา ได้อย่างง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีการสร้าง ที่ให้มีการมองเห็น ภายในร่างกายคนเรา ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ด้วยอาการป่วย ที่เป็นภายในร่างกาย ซึ่งจะมีโดยประมาณ 11-24 มิลลิเมตร ซึ่งถ่ายภาพภายใน ทางเดินอาหารในหนึ่งวินาที
สามารถถ่ายได้ 2 รูป ซึ่งมีตัวรับสัญญาณของภาพ จะมีลักษณะที่คล้ายกับ เข็มขัดคาดไว้กับ เอวของผู้ป่วย โดยจะรับสัญญาณภาพ ที่จะส่งมาจากกล้อง ที่อยู่ในแคปซูล ที่ไส่ลงไปในมางเดินอาหาร และเมื่อผู้ป่วยกลืนลงไป กล้องจะเคลื่อนที่ ไปตามส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินอาหาร โดยเรากินที่อาศัย การดีบตัวของกระเพาะ อาหารและลำไส้ พร้อมกับถ่ายภาพ
โดยจะส่งสัญญาณไปยัง ตัวรับส่งสัญญาณภาพ ที่คาดอยู่มี่เอว โดยจะมีแบตเตอร์รี่ จะใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมง โดยจะสามารถถ่ายภาพ ได้มากถึง 50,000. ภาพด้วยกัน ซึ่งข้อมูลภาพต่างๆ จะเป็นภาพต่อเนื่อง ภายในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งจะช่วยให้การแทพย์ วิเคราะห์ได้ง่ายว่า ผู้ป่วยคนนั้นเป็นอะไร และมีความผิดปกติอย่างไร และจะได้ทำการรักษาต่อไป
เรามาดูกันว่าใครบ้าง ที่จะต้องใช้กล้องตัวนี้ โดยคนที่มีภาวะซีด หรือโรคโลหิตจาง ที่ไม่สามารถทราบสาเหตุ คนที่มีอาการท้องเสียเรื่อรัง คนที่มีอาการปวดท้อง ที่ไม่ทราบสาเหตุ คนที่ปวดรอบๆสะดือ ซึ่งคนที่ป่วยตามที่ได้บอกไป จะต้องเข้ารักษา โดยการใช้กล้องนี้ โดยจะต้องมีการงดน้ำ ก่อนที่จะกลื่นกล้องลงไป ประมาณ 12 ชั่วโมง ข้อดีของการใช้ กล้องแคปซูลนี้
ในการผู้ป่วยที่จะรักษา โดยจะต้องกลืนกล้อง โดยไม่ต้องเคี้ยว ซึ่งการบันทึกภาพต่างๆ จะเริ่มบันทึกตั้งแต่ กล้องเข้าไปอยู่ในช่องปาก เราจะได้รู้เลยว่า ภายในร่างกายของเรา มีอะไรที่ผิดปกติ จากการกลืนก้องลงไป จะไม่สามารถทางอาหารได้ แต่หลังจาก 4 ชั่วโมงไปแล้ว ก็จะทานได้ปกติ ในการที่กล้องอยู่ ในลำไส้ของเรา หรือเวลาในการรักษา เราสามารถทำอะไรก็ได้
เหมือนว่าเราไม่ได้รักษา ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งหลังจากการรักษา ภายใน 24 ชั่วโมง กล้องจะถูกขับออกมา พร้อมกับอุจจาระ และจะไม่มีผลข้างเคียง และจะใช้ชิวิตได้ตามปกติ ก่อนที่จะทำการรักษา จะต้องงดน้ำงดอาหาร ประมาณ 12 ชั่วโมง แพทย์จะให้รับประทานอาหาร เพื่อทำการระบาย ก่อนที่จะตรวจเพื่อ เตรียมลำใส้ให้ว่าง เราจะต้องแจ้งให้แทพย์ ทราบด้วยว่าเรานั้น
มีประวัติการใช้ยาอะไร และเคยรักษาอะไรมาบ้าง ถ้าหากเคยทำการผ่าตัด ในบริเวณหัวใจ จะต้องแจ้งให้แทพย์ได้ทราบ ถ้าหากว่าเรา เคยผ่าตัดช่องท้อง หรือมีการอักเสบ ของลำไส้ของเรา หรือหากมีลำไส้อุดตัน หรือตีบแคบ จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย เห็นแบบนี้แล้ว ใครที่มีความผิดปกติ ในช่องท้องของเรา ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว เพราะจะทำให้การรักษา เป็นไปอย่างง่ายดาย
และสะดวกต่อการรักษา ของทางการแทพย์อีกด้วย ซึ่งในกล้องตัวนี้ เป็นสุดยอดเทคโนโลยี ที่จะช่วยให้เรา หายจากอาการป่าว ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องผ่าตัด แถมยังมีราคาไม่แพง ทำให้ในสมัยนี้ นำมาใช้รักษาผู้ป่วย ในทุกๆโรงพยาบาลอีกด้วย